เปิดแนวทาง ‘ใช้เงินทำเงิน’ สู้ปีเถาะท่ามกลางความเสี่ยง!

ทิศทาง “การลงทุน” ในปี 66 นี้ เชื่อว่าบรรดานักลงทุนอาจต้องคิดหนักมากกว่าทุกครั้ง เพราะบรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นปีแห่งความเลวร้ายจากเศรษฐกิจโลก “เข้าสู่ภาวะถดถอย” และสร้างความกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐและยูโรโซน มีแนวโน้มไม่เติบโต จากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากวิกฤติพลังงานในยุโรป ความเสี่ยงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน การเปิดประเทศของจีน ที่ต้องติดตามสถานการณ์คนจีนอย่างใกล้ชิด ถึงความเพียงพอของระบบสาธารณสุข เพราะจีนยังเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเนื่องต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนหรือไม่มากน้อยอย่างไร

ดังนั้น!คำพูดจาก ทดลองใช้ สูตรสล็อต! แนวทางการใช้ “เงินต่อเงิน” ในแต่ละตลาดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด จำเป็นต้องเกาะติดสถานการณ์ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด

หุ้นไทยสารพัดเสี่ยง

“ตลาดหุ้นไทย” ถือเป็นกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีพอร์ตการลงทุนมากที่สุด แม้เกิดวิกฤติโควิด จนตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปถึงจุดต่ำสุดกว่า 900 จุด แต่เพียงไม่นานก็ทะยานกลับขึ้นมามากกว่าก่อนเกิดโควิด ทั้งที่มีสารพัดปัจจัยลบเข้ามารุมเร้า!! ตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาพลังงานและต้นทุนราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น โดยทิศทางในปี 66 นี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) การันตีว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความท้าทายที่เข้ามากระทบกับทิศทางการลงทุน โดยเฉพาะความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ จากปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่จบ รวมถึงมาตรการภาครัฐที่เตรียมเก็บภาษีขายหุ้น 0.10% ที่ประเดิมเก็บปีแรกก่อน 0.055% ซึ่งมีผลต่อเงินลงทุนเพราะสภาพคล่องของนักลงทุนลดลง รวมทั้งยังมีเรื่องกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ หรือ ฟันด์โฟลว์ ที่อาจเคลื่อนย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีแทน

ลุ้นท่องเที่ยวพยุงตลาด

แต่!! ท่ามกลางความเสี่ยงเหล่านี้ ทางตลท.กลับเชื่อว่ายังมีกลุ่มธุรกิจอีกหลายตัวที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วแม้จะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากก็ตาม เช่น กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี กลุ่มบริการ และกลุ่มพลังงาน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่อาจเข้ามาช่วยพยุงตลาด แต่ในแง่ของ “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์” กลับเห็นต่าง โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่บนภาพของการฟื้นตัวจากการบริโภคภายในประเทศ โดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยเป็นตัวผลักดันให้เติบโต รวมไปถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปิดประเทศของจีน ที่คาดว่าช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปถึง 1,750 จุด

โอกาสทองตราสารหนี้

อย่างไรก็ตามจากนโยบายการเงินที่ยังเข้มงวด ท่าม กลางเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดย “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้” เชื่อว่าใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว และธนาคารกลางส่วนใหญ่น่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อดูสถานการณ์ก่อน ถือเป็นโอกาสทองของ “ตลาดตราสารหนี้” โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้น และความเสี่ยงยังต่ำกว่ามาก โดยที่นักลงทุนควรมองหาตราสารหนี้ที่คุณภาพดี อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ความเสี่ยงสูง เพราะหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดไว้ กลุ่มนี้จะมีปัญหาก่อน

ส่วนเงินเฟ้อคาดว่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและเริ่มลดลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลัง อัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่เกินกว่าระดับเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางยังต้องคงดอกเบี้ยสูงและไม่สามารถกลับมาลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง

เช่นเดียวกับ “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์” ที่มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปตามที่ส่งสัญญาณไว้ โดยคาดว่า ปลายปี 66 เงินเฟ้อน่าจะอยู่ในระดับ 2% ส่วนดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 2% ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจอาจอยู่ที่ 2-3% ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ได้ปรับขึ้น 0.50% ในเดือน ธ.ค. 65 จากนั้นในเดือน ก.พ. 66 และ มี.คคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. 66 จะปรับขึ้นอีกครั้งละ 0.25% เมื่อพิจารณาสินทรัพย์ในปี 66 นี้ ก็เชื่อว่าตราสารหนี้น่าสนใจที่สุด โดยธนาคารกลางสหรัฐน่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง แล้วอาจเปลี่ยนเป็นลดดอกเบี้ยก็ได้ ทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นปรับลดลงแรง ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาไม่ยาวนัก อาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็เป็นไปได้

เงินฝากยังน่าสนใจ

การออมเงิน” ด้วยการฝากเงินไว้กับธนาคารก็ยังเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ และได้รับความนิยมตลอดมา เพราะหลายคนยังคงเชื่อมั่นในระบบธนาคารของไทย ที่การันตีได้ว่าฝากเงินไว้เงินต้นที่ฝากไม่มีหายไปไหนแน่นอน แม้ที่ผ่านมาดอกเบี้ยเงินฝากของไทยยังคงต่ำกว่าผลตอบแทนการลงทุนในรูปแบบอื่นก็ตาม แต่ดอกเบี้ย หรือผลตอบแทนอย่างอื่นที่สูงกว่านั้น ก็ย่อมมักแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย เงินฝากไม่ว่าจะออมทรัพย์ ฝากประจำ หรือเงินฝากแบบดิจิทัล เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก แต่ก็ต้องการผลตอบแทน เก็บกินดอกเบี้ยไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งปัจจุบันแต่ละธนาคารได้มีแคมเปญพิเศษให้ดอกเบี้ยสูงมากมาย แต่อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยแนวโน้มของดอกเบี้ยคงยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เนื่องจากหลายสำนักเศรษฐกิจที่คาดการณ์ดอกเบี้ยไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้การฝากเงินไว้กับธนาคารยังคงมีความน่าสนใจอยู่เช่นเดิม

ดอกเบี้ยเงินฝากดีแค่ไหน

สำหรับเงินฝากออมทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ มีดอกเบี้ยล่าสุด อยู่ที่ 0.25-0.45% ต่อปี ส่วนเงินฝากประจำระยะมีทั้ง 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน และไปถึง 24 เดือน เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาอยู่ระหว่าง 0.55-1.4% ต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์แต่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าใครในตอนนี้คงเป็นเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งผู้ฝากต้องเปิดบัญชีออนไลน์ โดยที่ไม่มีสมุดคู่ฝาก ไม่มีบัตรเอทีเอ็มพลาสติก ดังนั้นจึงทำให้บรรดาธนาคารเหล่านี้ไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้น จึงให้ดอกเบี้ยสูงกับผู้ฝากได้ โดยเฉลี่ย 1.5% ต่อปี หรือบางธนาคารอาจให้ไปมากกว่า 2% เลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับบริหารต้นทุนและต้องการระดมเงินฝาก เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อมากแค่ไหน ซึ่งทางเลือกเงินฝากดิจิทัลในปัจจุบันก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ

ทิศทางเงินฝากปี 66

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินว่า มีโอกาสได้เห็นดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้นมากกว่า 0.50% ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 66 และอาจไปพีคสูงสุดในรอบการขึ้นนี้แถวกลางปี โดยปีนี้ การเติบโตของเงินฝากจะอยู่ที่ 4-5.5% ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวและการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่ผู้มีเงินออมแม้ได้รับดอกเบี้ยการันตีเงินต้นไม่หาย แต่อาจทำให้หลายคนอึดอัดกับผลตอบ แทนหากไปลงทุนประเภทอื่นที่ได้รับสูงกว่า ก็อาจทำให้ผู้ฝากเงินบางคนหันมาเปลี่ยนการเก็บเงินเป็นการลงทุนรูปแบบอื่นเพิ่มเติม หรือทดแทนการฝากเงินไว้กับธนาคาร อย่างเช่น กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั่งตราสารทุน ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 2.5% ในปี 66 ทำให้การออมในรูปของเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะสั้น ยังให้ผลตอบแทนที่ติดลบ ดังนั้น ผู้มีเงินออมที่สามารถรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อาจเลือกกระจายการลงทุนไปสินทรัพย์อื่น ๆ ได้

แนะเก็บเงินสดให้มาก

หันมาดู เงินไฮเทค หรือบรรดาคริปโตเคอเรนซี ที่ในปีที่แล้วอยู่ในสภาพ “ตลาดหมี” ที่มูลค่าการซื้อขายดิ่งตัวลงอย่างหนัก จากการหมดรอบของการเติบโตตามวัฏจักรของตลาดซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 รอบ โดยผู้เชี่ยวชาญในตลาดนี้ต่างประเมินว่าการกลับมาฟื้นตัวของคริปโตฯหลังจากนี้ คงต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่ โดยในปีนี้ “บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” เชื่อว่า จากเศรษฐกิจโลกที่ติดอยู่กับภาวะความผันผวนจากเงินเฟ้อจนทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศจับมือกันขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดึงเงินเฟ้อให้ลดลงมา โดยอาจอยู่ที่ 2% ภายในปี67 สะท้อนถึงปี 66 นี้อาจเป็นปีที่เห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดึงเงินเฟ้อลงมายากกว่าการสร้างเงินเฟ้อ

ด้วยเหตุนี้…จึงทำให้อยู่ในยุคของทุกสินทรัพย์การลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง อย่างสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอเรนซี หรือหุ้นเท่านั้น แม้แต่ “ทองคำ” ที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็มีราคาลดลง และคนพยายามใช้จ่ายให้น้อยกว่าเดิม ซึ่งทุกวันนี้แนวโน้มของหลายบริษัททั่วโลกต่างพยายามรักษาต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมถึงเห็นหุ้นเทคโนโลยีที่ราคาปรับลดลงด้วย ทำให้ปีนี้อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงแนะนำให้ภาคธุรกิจเก็บเงินสดให้มากที่สุด อย่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็น และการปรับธุรกิจให้มีคุณภาพสูงขึ้น เช่น การลงทุนในเทคโนโลยี หรือทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสูง โดยมองว่าหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจริง การเก็บเงินสดจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทองคำ 30,500 บาท

ด้าน “ทองคำ” ในตลาดโลกที่มีราคาตกต่ำในปี 65 ลดลงไปกว่า 10% สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำเพื่อใช้สำหรับประกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น “กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง” คาดการณ์ว่า แนวโน้มปีเถาะนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐยุติการขึ้นดอกเบี้ยก็ต้องดูว่าเงินเฟ้อจะกลับมาอีกหรือไม่ หากสหรัฐคุมเงินเฟ้ออยู่ก็อาจจะตามมาด้วยเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งถือว่าเป็น “ปัจจัยบวก” โดยตรงกับราคาทองคำ

อย่างไรก็ตาม!! จากสถิติการเกิดเศรษฐกิจถดถอยประมาณ 7 ครั้ง เห็นได้ว่า 5 ครั้ง ราคาทองปรับขึ้นสูง ส่วนอีก 2 ครั้งแม้ราคาไม่ขึ้นทันที แต่เมื่อผ่านพ้นในเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ดีไป ราคาฟื้นกลับขึ้นมา ถือว่ามีปัจจัยที่ปรับขึ้นได้มาก มองว่าในปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบราคาประมาณ 1,700-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ต้องขึ้นกับเรื่องของเศรษฐกิจและการเมืองโลกด้วย ส่วนราคาทองคำในประเทศอยู่ที่บาทละ 28,000-30,500 บาท

ด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด มองว่า มีปัจจัยหนุนที่ต้องติดตาม 4 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจสหรัฐ ที่หลายฝ่ายคาดการณ์มีโอกาสถดถอย แต่หากมองย้อนไปในอดีต หากเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจส่วนใหญ่ทองคำจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก นอกจากนี้ยังมีเรื่องความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐที่ถดถอย ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจเปลี่ยนไป และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง ซึ่งก็จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ ขณะเดียวกันยังมีเรื่องการเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ที่เริ่มกลับมาซื้อทองคำในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา จึงเป็นสัญญาณบวกที่หนุนทองคำ และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ก็ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แม้มีผลต่อการลงทุนน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

ทั้งนี้ทั้งนั้น!! ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ต่างมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น!! บรรดานักลงทุนทั้งมือใหม่มือเก่า สารพัดเซียนก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนหมดตัว เพราะ!! อย่าลืมว่า…สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ “ความไม่แน่นอน”

…ทีมเศรษฐกิจ…